Thainewscar

เว็บบล็อกข่าวสารยานยนต์และรีวิวรถยนต์ไทย

Thainewscar

เว็บบล็อกข่าวสารยานยนต์และรีวิวรถยนต์ไทย

Thainewscar

เว็บบล็อกข่าวสารยานยนต์และรีวิวรถยนต์ไทย

Thainewscar

เว็บบล็อกข่าวสารยานยนต์และรีวิวรถยนต์ไทย

Thainewscar

เว็บบล็อกข่าวสารยานยนต์และรีวิวรถยนต์ไทย

วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รวมเด็ดรถคลาสสิค

รู้สึกมั้ยว่าสมัยนี้นวัตกรรมยานยนต์นั้นล้ำหน้า มีการพัฒนารถรุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาดมาให้เราเลือกกันไม่หวาดไม่ไหว บางคนพึ่งถอยรถใหม่ป้ายแดงมาไม่ทันไร รุ่นใหม่ (กว่า) ออกมาอีกละ เรียกได้ว่ารุ่นใหม่มา รุ่นเก่าไป กลายเป็นสัจจธรรมที่ต้องทำใจกันเสียแล้ว ต่างกับรถสมัยก่อนที่กว่าจะออกมาแต่ละรุ่นนั้นทิ้งช่วงห่างกันนาน ฮิตกันยาว จนกลายเป็นของยิ่งเก่ายิ่งมีคุณค่าใครๆ ก็อยากได้มาไว้ในครอบครอง ถามว่ามีรุ่นไหน ยี่ห้ออะไรบ้างนั้นเรามีมาให้ชม สำหรับคนนิยมความคลาสสิคบอกเลยว่าพลาดไม่ได้ครับ

ferrari

                                                                                   Ferrari 308 GTB

ม้าลำพองสัญชาติอิตาลี หนึ่งซุปเปอร์คาร์ในตำนานที่ใครก็อยากจับจองเป็นเจ้าของ Ferrari 308 GTB เปิดตัวครั้งแรกในงาน Paris Motor Show ปี 1975 ดีไซน์โดย Leonardo Fioravanti นับเป็นสปอร์ตคูเป้ 2 ประตู ที่เป็นเสมือนตัวแทนความสำเร็จครั้งสำคัญของเฟอร์รารี่

tumblr_lr9m5qppio1qghkbio1_500

280_sl

MERCEDES BENZ 190SL, MERCEDES BENZ 280SL

สปอร์ตเปิดประทุนสุดคลาสสิกเพื่อการขับขี่สไตล์ Roadster รถรุ่นตำนานเป็นที่นิยมของนักสะสมทั่วโลก

chevrolet_corvette_stingray_427_mild

CHEVROLET CORVETTE STING RAY

สปอร์ตเปิดประทุน หนึ่งในรถแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง CON AIR

jaguar-e-type

JAGUAR E-TYPE

รถสปอร์ตทรงเสน่ห์แห่งยุค ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นรถยนต์ที่สวยติดอันดับโลก ซึ่งมีอายุกว่า 50 ปี

bmw-isetta-12

BMW ISETTA

รถยนต์ที่หาชมได้ยาก ผลิตขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงระยะเวลาที่เศรษฐกิจของยุโรปฝืดเคือง ลักษณะโดดเด่น แปลกตา ด้วยรูปทรงไข่ (EGG SHAPPED) ที่มี 2 ล้อหน้า 1 ล้อหลัง และ 1 ประตูเปิดปิด, เครื่องยนต์ มอเตอร์ไซค์ 1 สูบ สามารถจอดในที่คับแคบได้

porsche-356-12

PORSCHE 356

สปอร์ตเปิดประทุน ผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกของค่ายปอร์เช่และถือเป็นรถยนต์รุ่นพี่ของปอร์เช่ 911 จุดเด่นอยู่ที่สไตล์ตัวถังแบบเปิดประทุน ติดตั้งเครื่องยนต์ไว้ด้านหลัง ปอร์เช่ 356 เป็นที่รู้จักและหลงใหลของเหล่านักสะสมรถคลาสสิกมากหลังจากแมกซ์ ฮอฟฟ์มัน (Max Hoffman) นำปอร์เช่ตัวนี้เข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ด้วยราคาที่ถูกกว่าสปอร์ตอเมริกัน แล้วมันก็ได้รับความนิยมอย่างฉับพลันโดยเฉพาะในย่านแคลิฟอร์เนีย ใต้

1966_ford_mustang_main

FORD MUSTANG

สปอร์ตยอดนิยมที่ชาวอเมริกัน หลงใหล ผลิตในปี 1964

delorean_dmc-12_gullwing_doors

DELOREAN DMC-12

ต้นแบบรถในภาพยนตร์ยุค 80' BACK TO THE FUTURE เปิดประตูแบบปีกนก

 

ขอบคุณข้อมูล autosnook

วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ระบบหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงแบบคอมม่อนเรล (Common Rail Injection System )

คำว่าคอมม่อนเรล สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล คงจะเริ่มคุ้นหูกันมากขึ้นในระยะหลังนี้ ในขณะที่เทคโนโลยีนี้ พัฒนามากว่า 20 ปีแล้ว คอมม่อนเรล มีสภาพเหมือนเป็นรางกักเก็บเชื้อเพลิง ที่ภายในมีความดันสูงอยู่ตลอด และความดันนี้ก็จะส่งผ่านไปที่หัวฉีด เมื่อหัวฉีดได้รับสัญญาณ ก็จะเปิดให้น้ำมันดีเซล พุ่งผ่านลงไปในห้องเผาไหม้ การนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ ของเครื่องยนต์ดีเซล ขึ้นจากระบบเดิมๆ รวมไปถึงระบบไดเร็คอินเจ็คชั่นด้วย ในระบบไดเร็คอินเจ็คชั่นนั้น หัวฉีดจะได้รับการจ่ายเชื้อเพลิงโดยตรง จากปั๊มหัวฉีด สำหรับในระบบคอมม่อนเรลนี้ ปั๊มจะส่งน้ำมันไปที่รางน้ำมันเชื้อเพลิงความดันสูงที่เรียกว่าคอมม่อนเรล ซึ่งความดันอาจสูงถึง 1,350 บาร์ และที่หัวฉีดจะมีการส่งสัญญาณกลับมาที่ปั๊มด้วย รวมทั้งยังมีการควบคุมจาก ECU ร่วมอยู่ด้วย ทั้งหมดจะส่งผลให้มีการใช้น้ำมัน อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้เครื่องยนต์ดีเซลในระบบนี้ ประหยัดน้ำม้น และให้กำลังดีขึ้น
ระบบนี้มีใช้ในเครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่มานานแล้ว ก่อนที่จะเริ่มมีการพัฒนา ให้อุปกรณ์ต่างๆ มีขนาดเล็กลง และนำมาใช้กับเครื่องยนต์ดีเซล สำหรับรถยนต์นั่งในปัจจุบัน เครื่องยนต์ดีเซลระบบ คอมม่อนเรล เริ่มมีวางจำหน่ายแล้งในยุโรป ดินแดนที่มีความนิยม การใช้เครื่องยนต์ดีเซลอย่างมาก ในรถยนต์นั่ง

commonrailsystem

คอมม่อนเรลเป็นระบบควบคุมการฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยอีเล็คทรอนิคส์ แตกต่างจากปั๊มหัวฉีดโดยทั่วไป ประกอบด้วย

  1. ปั๊มจ่ายน้ำมัน (supply pump)
  2. รางคอมม่อนเรล (common rail)
  3. หัวฉีด (injector)
  4. เซ็นเซอร์ต่างๆ
  5. ระบบควบคุมคอมพิวเตอร์ (ECU)

1. ปั๊มจ่ายน้ำมัน (supply pump) จะถูกขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์เพื่อสร้างน้ำมันแรงดันสูงขึ้นมา

commonrail_supply_pump

ปั๊มจ่ายน้ำมันประกอบด้วย ตัวปั๊ม(main body)  feed pump และลิ้นควบคุมปั๊ม (Pump Control Valve หรือ PCV) ที่มีหน้าที่ปล่อยน้ำมันตามคำสั่งของ ECU ปั๊มนี้ถูกขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์ ตัวปั๊มทำหน้าที่ดูดและจ่ายน้ำมันโดยอาศัยการทำงานของ plunger ในการเคลื่อนที่ขึ้นลง

ปั๊มดูดน้ำมัน (Feed pump)

โรเตอร์ของปั๊มดูดน้ำมันเชื้อเพลิง (feed pump) ประกอบไปด้วย

  • แกนที่ต่อกับเพลาข้อเหวี่ยง (Cam Shaft)
  • โรเตอร์ (Rotor)
  • ใบจักร (Vane)
  • ห้องแรงดัน (Pressure chamber)

ในขณะที่แกนโรเตเตอร์หมุน ก็จะทำให้ใบจักรหมุนไปด้วยในลักษณะแรงเหวี่ยงหนึศูนย์ เพราะว่าโรเตอร์ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางในห้องแรงดัน ทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ระหว่างใบจักร (Vane) ถูกบีบอัดให้เกิดแรงดันขึ้นมา

2. รางคอมม่อนเรล (common rail)

ราง common rail

ชิ้นส่วนที่เรียกว่า รางคอมม่อนเรลนี้จะถูกยีดติดกับท่อร่วมไอดี (intake manifold) ทำหน้าที่จ่ายน้ำมันแรงดันสูงที่ถูกสร้างโดย ปั๊มจ่ายน้ำมันไปให้หัวฉีดในกระบอกสูบแต่ละอัน อุปกรณ์ที่ยึดติดอยู่กับคอมม่อนเรล มีดังนี้

  • Flow damper
    ท่อส่ง น้ำมันแรงดันสูงจะถูกต่อกับ flow damper เพื่อลด  fluctuation ของแรงดันภายในรางคอมม่อนเรลและภายในท่อแรงดันสูง รวมทั้งช่วยปิดน้ำมันที่ ไหลผ่านถ้ามีน้ำมันผ่าน flow damper มากเกินไป
  • Pressure limiter
    เป็นตัวจำกัดความดันภายในรางคอมม่อนเรลไม่ให้สูงเกินไป

3. หัวฉีดน้ำมัน (injetor) ถูกติดตั้งไว้ในกระบอกสูบของเครื่องยนต์แต่ละสูบ น้ำมันแรงดันสูงที่ถูกส่งมาจากปั๊มจ่ายน้ำมันจะถูกส่งให้หัวฉีดในแต่ละ กระบอกสูบโดยผ่านรางคอมม่อนเรล ปริมาณการฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงและจังหวะในการฉีดจะถูกควบคุมโดยระบบควบคุมหัว ฉีด (controlling the injector)

หัวฉีด (Injector)

injector-commonrail  injector commonrail

ตัวหัวฉีดประกอบด้วย

  • วาล์วโซลีนอยด์แบบสามทาง (three-way solenoid valve (TWV))
  • orifice
  • ลูกสูบไฮดรอลิก (hydraulic piston)
  • หัวฉีด (nozzle)

เมื่อ ECU ส่งสัญญาณมาให้วาล์ว TWV ทำงานน้ำมันเชื้อเพลิงแรงดันสูงในท่อควบคุมจะไหลผ่าน orifice แล้วดันเข็มหัวฉีดให้เปิดออก น้ำมันก็จะถูกฉีดออกทางหัวเข็ม และเมื่อ ECU ส่งสัญญาณมาให้วาล์ว TWV หยุดทำงาน น้ำมันที่ไหลผ่าน orifice จะถูกแรงจากลูกสูบไฮดรอลิกดันวาล์วเข็มหัวฉีดไว้ น้ำมันก็จะหยุดฉีด

3. เซนเซอร์ต่างๆ ที่ทำงานร่วมกับหัวฉีด

  • เซนเซอร์ตรวจจับตำแหน่งการเร่ง (Accelerator position sensor)  ทำหน้าที่เปลี่ยนแรงที่กดคันเร่งไปเป็นสัญญาณไฟฟ้าเพื่อส่งให้ ECU
  • เซนเซอร์ตรวจจับรอบเครื่องยนต์ (Engine (NE sensor) speed sensor) มีใช้ด้วยกันสองชนิด

    - engine speed sensor  ติดตั้งอยู่บนเสื้อล้อช่วยแรง (fly wheel) ทำหน้าที่ตรวจจับความเร็วเครื่องยนต์และ  ตำแหน่งข้อเหวี่ยง

              - auxiliary engine speed sensor ติดตั้งอยู่บนปั๊มจ่ายน้ำมันเพื่อส่งสัญญาณ cylinder distinction

  • เซนเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิน้ำมันเชื้อเพลิง (Fuel temperature sensor) โดยใช้เทอร์โมมิสเตอร์ที่ความต้านทานแปรค่าตามอุณหภมิมาตรวจจับอุณหภูมิของน้ำมันเชื้อเพลิง
  • เซนเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิน้ำหล่อเย็น (Coolant temperature sensor) โดยใช้เทอร์มิสเตอร์เช่นเดียวกัน
  • เซนเซอร์ตรวจจับแรงดันในรางคอมม่อนเรล (Common rail pressure sensor) เซนเซอร์ตัวนี้ถูกติดตั้งอยู่ในรางคอมม่อนเรล เป็นเซนเซอร์วัดแรงดันแบบเซมิคอนดัตเตอร์ โดยความต้านทานจะแปรค่าไปเมื่อมีแรงดันมาตกกระทบซิลิคอน

2014 All New Honda Jazz เผยโฉมตัวจริงอย่างเป็นทางการ

เผยโฉมตัวจริงออกมาให้เห็นกันอย่างเป็นทางการแล้ว 2014 All-New Honda Jazz รถซับคอมแพกต์ยอดนิยมอีกรุ่นของคนไทย โดยรูปลักษณ์ใหม่ของ Honda Jazz 2014 ได้รับการออกแบบให้มีความดุดันและเฉียบคมกว่ารุ่นเดิมอย่างชัดเจน ห้องโดยสารออกแบบให้มีรูปทรงเลขาคณิต และเพิ่มเติมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเช่น จอสัมผัสติดตั้งที่คอนโซลกลางเข้ามา

honda jazz 2014

โดย Jazz เจนเนอเรชั่นที่ 3 จะเริ่มทำตลาดในญี่ปุ่นช่วงเดือนกันยายน จากนั้นจึงบุกตลาดโลก ทั้งนี้จะเปิดตัวด้วย 3 รุ่นหลัก แบ่งตามเครื่องยนต์คือ 1,300 ซีซี 100 แรงม้า (PS), 1,500 ซีซี 132 แรงม้า (PS) และรุ่นไฮบริด ที่จะใช้เครื่องยนต์ Atkinson Cycle 1,500 ซีซี มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าแรงดันสูง, IPU หรือ Intelligent Power Unit ที่จะทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ซึ่งจะประหยัดขึ้นมากกว่า 35 เปอร์เซ็นต์ หรือราว 36.4 กิโลเมตรต่อลิตร

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมของ Honda Jazz 2014 เราจะติดตามมานำเสนอในโอกาสต่อไปครับ โดยเฉพาะการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในญี่ปุ่น ช่วงเดือนกันยายนนี้

honda jazz 2014_02

honda jazz 2014_03

honda jazz 2014_10

honda jazz 2014_04

honda jazz 2014_05

honda jazz 2014_06

honda jazz 2014_07

honda jazz 2014_08

 

ขอบคุณข้อมูล auto snook

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ประเภทของมอเตอร์ไซค์ "บิ๊กไบค์”

"บิ๊กไบค์" หมายถึง มอเตอร์ไซค์ที่มีขนาดใหญ่กว่ารถมอเตอไซค์ทั่วไป เหตุผลที่ต้องมีขนาดใหญ่ก็เพราะมันต้องแบกรับเครื่องยนต์ที่มีขนาดใหญ่ยักษ์นั่นเอง โดยขนาดเครื่องยนต์มีตั้งแต่ 250 ซีซี ขึ้นไป ในแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อก็จะมีรูปแบบเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นสูบเดียว สี่สูบ หรือแต่งเพิ่มให้เป็นหกสูบ ลูกสูบถูกหจัดวางอยู่ในรูปแบบของสูบเรียงและสูบV ในส่วนระบบส่งกำลังก็จะมีตั้งแต่ระบบที่ใช้โซ่ ใช้เพลาขับ และใช้สายพาน เป็นต้น

โดยทั่วไปสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้

2010-honda-goldwinggl

1. Touring บิ๊กไบค์ประเภทนี้จะมีซีซีสูง เพราะต้องแบกรับน้ำหนักตัวและต้องวิ่งในระยะทางไกล จึงออกแบบให้ผู้ขับขี่สบายที่สุด ดังนั้นเอกลักษณ์ของทัวร์ริ่งไบค์คือ บังลมหน้าที่มีขนาดใหญ่ มีกระเป๋าใส่สัมภาระขนาดใหญ่ ในส่วนตัวถังจะไม่สูงมาบังส่วนลำตัวของผู้ขับขี่มากนัก แฮนด์ของรถยกขึ้นพอประมาณเพื่อไม่ให้ผู้ขับขี่ต้องก้มตัวเวลาขับขี่นั่นเอง

ducati-1199

2. Sport บิ๊กไบค์รูปทรงปราดเปรียว มีกำลังเครื่องสูง อัตราเร่งสูง เป็นบิ๊กไบค์ที่ใช้สำหรับการแข่งขันในสนามเป็นจุดประสงค์หลักจึงถูกออกแบบให้ควบคุมรถได้ง่ายและทำให้รถไปได้เร็วที่สุด บางครั้งสูงถึง 300km/Hr ผู้ขับต้องโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อลดแรงต้านของลม แฮนด์รถจึงมีลักษณะดร็อปลงและมีตัวถังสูงเพื่อรองรับช่วงลำตัว

yamaha-road-star

3. Cruiser เป็นรถบิ๊กไบค์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในการขับขี่ทางไกล และท่องเที่ยวความเร็วต่ำเป็นหลัก ไม่มีบังลมส่วนหน้า เน้นความดิบ มีเสียงดังกระหึ่ม การขับขี่ท่านั่งที่ค่อนข้างสบาย (แต่ไม่สบายเท่ากับทัวร์ริ่งไบค์) โดยมากหลายคนเรียกช็อปเปอร์ แต่ที่จริงแล้วช็อปเปอร์นั้นถูกดัดแปลงมาจาก cruiser อีกที

bmw-f800gs

4. Dual Purpose รถเอนกประสงค์สำหรับขับขี่บนเทือกเขา ได้รับความนิยมในประเทศแถบยุโรป สามารถขับขี่ได้ดีทั้งทางวิบากและถนนเรียบ เพราะเป็นรถขับขี่กึ่งวิบากนั่นเอง แต่มีความแตกต่างจากรถมอเตอร์ครอสตรงที่ขนาดซีซีสูงกว่า และสามารถทำความเร็วสูงได้ดีกว่า

เนื่องจาก "บิ๊กไบค์" มีลักษณะการใช้งานหลากหลายรูปแบบ จึงถูกดัดแปลงและแบ่งประเภทย่อยๆ ได้อีกหลากหลาย เช่น

ducati-monster_02

- Naked Bike แนวเปลือยๆ เป็นรถ Sport ที่ถูกจับมาแต่งให้เปรียว เอาแฟริ่งกันลมออก แรงม้าไม่สูง เหมาะสำหรับขี่ในเมือง

kawasaki-1400gtr

- Sport กึ่ง Touring รวมเอาจุดเด่นเข้าด้วยกัน เน้นความสบาย และการเดินทางไกลที่ความเร็วสูง

kawasaki-vulcan-1700

- Cruiser กึ่ง Touring เป็นรถ Cruiser ที่มีความดิบ กระด้าง แต่สะดวกสบายตามแบบฉบับทัวร์ริ่ง

yamaha-chopper_02

- Chopper เป็นรถที่ถูกดัดแปลงมาจาก Cruiser อีกทีโดยเพิ่มตะเกียบหน้าหรือโช๊คหน้าที่ยาวเกือบสองเมตร มีการออกแบบให้เบาะอยู่ต่ำกว่ารถบิ๊กไบค์ประเภทอื่นๆ และมีตำแหน่งแฮนด์ที่สูงอยู่ในระดับไหล่หรือสูงกว่าไหล่ของผู้ขับขี่

 

ขอบคุณข้อมูล auto snook

วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ หนุนยอดขายฟอร์ด มิ.ย.พุ่ง 33%

all-new-Ford-Ranger

ฟอร์ด ประเทศไทย เผยยอดค้าปลีกรวมของบริษัทในเดือนมิถุนายน อยู่ที่ 4,735 คัน เพิ่มขึ้น 33% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยยอดขายที่ดีเยี่ยมมาจากความต้องการรถกระบะฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ที่ยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ขณะที่รถยนต์นั่งโฟกัส ใหม่และเฟียสต้ามียอดขายเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ความต้องการ Ford Ranger ใหม่ รุ่นเกียร์ธรรมดาที่อยู่ในระดับแข็งแกร่ง ส่งผลให้ยอดค้าปลีกรวมของฟอร์ด ประเทศไทย ในเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 2,704 คัน เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา การที่ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ยังเป็นรถรุ่นหลักที่ขายดีที่สุดของฟอร์ดในเดือนมิถุนายน ส่งผลให้เรนเจอร์ ใหม่ สามารถครองตำแหน่งรถรุ่นที่ขายดีที่สุดของฟอร์ดในปีนี้ได้ด้วยยอดค้าปลีกในช่วงครึ่งแรกของปีที่ 13,345 คัน เพิ่มขึ้นถึง 62%

“การเป็นรถที่มีสมรรถนะดีเยี่ยมและรองรับการใช้งานได้แบบอเนกประสงค์ทำให้ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ซึ่งเป็นรถกระบะระดับโลกที่ผลิตขึ้นในประเทศไทย มีภาพลักษณ์ที่ดีและได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จากลูกค้าหลากหลายกลุ่ม ฟอร์ด เรนเจอร์ใหม่ เป็นรถที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าในเซ็กเม้นท์นี้อย่างแท้จริง” ยุคนธร วิเศษโกสิน กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าว

ด้านฟอร์ด โฟกัส ใหม่ มีส่วนช่วยผลักดันยอดขายรวมของฟอร์ดในเดือนมิถุนายนเช่นเดียวกัน ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้น 25% จากเดือนก่อนหน้าที่ 602 คัน ขณะที่ยอดขายรวมตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 3,360 คัน เพิ่มขึ้นเกือบ 260% เมื่อเทียบกับยอดขายโฟกัสรุ่นก่อนหน้าในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

ขณะที่ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ มียอดขายต่อเดือนอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกัน ด้วยยอดขายรวม 1,360 คัน ในเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 52% เมื่อเทียบกับยอดขายในเดือนพฤษภาคม ส่งผลให้เฟียสต้ายังคงครองตำแหน่งเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่มีการแข่งขันสูงมากในประเทศไทย

“ปัจจุบัน เรามีรถ Ford Fiesta เกือบ 65,000 คันวิ่งอยู่บนถนนในประเทศไทย ทำให้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารถรุ่นนี้ประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมอย่างมาก” วิชิต ว่องวัฒนาการ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวและว่า “ช่วงนี้นับว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการซื้อเฟียสต้า เพราะเรามอบข้อเสนอที่เร้าใจมากมายให้กับลูกค้าที่สนใจเฟียสต้าทุกรุ่น”

ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ฟอร์ดมียอดขายรถทุกรุ่นโดยรวมเพิ่มขึ้นถึง 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ที่ 27,422 คัน

 

ขอบคุณข้อมูล 9carthai

วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ปัญหาของระบบเบรกจุดสำคัญที่คุณต้องรู้

เบรกตื้อ  เป็นอาการที่เวลาเหยียบเบรก แล้วรู้สึกว่า เบรกมันไม่ค่อยอยู่ เบรกแข็งๆ ต้องออกแรงเหยียบเบรกมากๆ อาการเบรกตื้อ เกิดมาจากหลายสาเหตุ เช่น แรงดูดสุญญากาศของหม้อลมน้อย เพราะปั้มตูดไดชาร์จเสีย หรือผ้าในหม้อลมรั่ว วาล์ว PVC หรือ Combo Vale เสีย สายลมรั่ว

รอบรู้เรื่องเบรก
เบรกต่ำ เวลาเหยียบเบรกแล้วรู้สึกว่า แป้นเบรกจมลงต่ำกว่าปรกติ เหยียบค้างไว้เบรกค่อยๆจมลงๆ เป็นอาการของเบรกต่ำ ส่วนมากเกิดมาจาก ลูกยางแม่ปั้มเบรกบน มีอาการสึกหรอ หรือบวม ทำให้แรงดันเบรกลดลง ต้องออกแรงเบรกมากขึ้น หรือต้องเหยียบเบรกซ้ำๆกัน หลายๆครั้ง
เบรกติด อาการเหมือนรถมีอาการเบรกทำงานอยู่ตลอดเวลา รถจะ ตื้อ เบรกร้อนมีกลิ่นเหม็นไหม้ เบรกปัดซ้าย-ขวา รถวิ่งไม่ออก จอดแล้วเข็นรถไม่ได้ เป็นอาการของเบรกติด ส่วนมากเกิดจาก การลูกยางกันฝุ่นของแม่ปั้มเบรกเสีย ทำให้มีน้ำซึมเข้าไปในกระบอกเบรก จนเกิดสนิมติดขัด ลูกสูบเบรกไม่สามารถเคลื่อนตัวเข้าออกได้
การแก้ไข เปลี่ยนชุดซ่อมแม่ปั้มเบรกล่าง ถอดมาขัดสนิมออก ทั้งแม่ปั้ม และกระบอกเบรก หรือถ้ามีสนิมมากจนเกิดตามด จะทำให้น้ำมันเบรกรั่วซึมได้ ต้องเปลี่ยนลูกสูบเบรก หรือแม่ปั้มทั้งชุด
เบรกแตก คืออาการ เหยียบเบรกแล้ว แป้นเบรกที่ขาเบรกจม จนแป้นเบรกกระทบกับพื้นรถ หรือนิ่มหยุ่นๆก่อนแล้วจมลงติดพื้น เมื่อเหยียบเบรกแล้วรถยังคงวิ่งที่ความเร็วเท่าเดิม เหมือนไม่มีเบรก

สาเหตุ
1. เกิดจากรั่วของน้ำมันเบรก เช่นสายอ่อนเบรกแตก ท่อแป๊ปเบรกแตก หรือน้ำมันเบรกรั่วซึมมาเป็นเวลานาน ลูกยางแม่ปั้มเบรก และแม่ปั้มเบรกเก่า เสียหายจนน้ำมันเบรกรั่วไหลออกจนหมด
2. ผ้าเบรกหมด จนหลุดออก เป็นไปได้บ่อยครั้งที่ เวลาที่ผ้าเบรกหมดนานๆ และยังปล่อยไว้ไม่ได้รับการเปลี่ยน ผ้าเบรกจะบางมากจนหลุดออกจากฝักก้ามปูเบรก จะทำให้ลูกสูบเบรกหลุด เบรกจะแตกทันที
3. ส่วนประกอบในระบบเกิดการหลุดหลวม เกิดได้หลายสาเหตุ เช่นสากแป้นเบรก (ที่ตั้งได้ไขไม่แน่นหลุดเกลียว หรือไม่ได้ใส่สลักล็อค) น็อตยึดขาเบรกหลุด ฝักเบรก หรือคาริบเปอร์เบรกยึดไม่แน่น และส่วนประกอบต่างๆในระบบเบรกประกอบไม่แน่นหลุดออก
4. สายอ่อนเบรกแตก สายอ่อนที่เก่ามากๆ จะเกิดอาการบวม เวลาปกติก็ดูดี แต่พอเหยียบเบรกกลับ พองตัวเหมือนลูกโป่ง พวกนี้อันตรายมาก เวลาเหยียบเบรกเบาๆแรงดันน้ำมันเบรกต่ำก็รู้สึกดี แต่พอเวลาคับขัน เหยียบเบรกกะทันหันอย่างแรง สายอ่อนเบรกก็เกิดการรับแรงดันไม่ไหวแตกออก และการติดตั้งสายอ่อนเบรกไม่ดี เสียดสีกับล้อ และยาง หรือเสียดสีกับระบบช่วงล่างของรถ

รอบรู้เรื่องเบรก02

เบรกหมด  คืออาการ เบรกแล้วเกิดเสียงดัง เหมือนเหล็กสีกับเหล็ก เบรกลื่นๆ
เป็น อาการของเวลาที่ผ้าเบรกหมด ผ้าเบรกบางรุ่นจะมีส่วนที่เป็นตุ่มโลหะมาแตะกับจานเบรกเพื่อให้เกิดเสียงดัง เป็นอาการส่งสัญญาณเตือน หรือติดตั้ง สวิทซ์ไฟโชว์ไว้ที่แผงหน้าปัด ต้องรีบเปลี่ยนโดยทันที เพราะจะทำให้ผ้าเบรกสีกับจนเบรกเสียหาย จนต้อเปลี่ยนจานเบรกใหม่ เสียเงินเพิ่มอีก
เบรกสั่น คืออาการที่เหยียบแล้ว แป้นเบรกเกิดอากาสั่นขึ้นๆลงๆ รู้สึกได้ด้วยเท้า รถที่เบรกสั่นมากๆจะรู้สึกสั่นถึงพวงมาลัย หรือเวลาเหยียบเบรก เกิดอาการสั่นสะท้านไปทั้งคัน
สาเหตุเกิดจาก จานเบรกเกิดการคดบิดตัว เพราะการใช้งานที่รุนแรงกินไป การลุยน้ำ (จานเบรกที่ร้อนจัด เวลาเจอน้ำมักจะบิดตัวได้ง่าย) ลูกปืนล้อหลวม น็อตล้อหลวม ผ้าเบรกสึกหรอไม่เท่ากัน อาการนี้เกิดได้ทั้งระบบดิสเบรก และดรัมเบรก
เบรกเสียงดัง อาการ มีเสียงดังที่เกิดขึ้นในขณะเบรก ส่วนมากเกิดมาจาก ผ้าเบรก และจานเบรก เช่นผ้าเบรกหมด จนเหล็กผ้าสีกับจาน จานเบรกเป็นรอยมากๆเนื่องจากฝุ่น และหินที่หลุดเข้าไปเสียดสี ต้องเจียรจานเบรกใหม่ แต่ถ้าผ้าเบรกก็ใหม่ จานเบรกก็เรียบดี เสียงที่ดังมักเกิดจาก เสียงของผ้าเบรกเอง ผ้าเบรกที่ผลิตไม่ได้มาตราฐาน อัดขึ้นรูปผิดพลาด จะเกิดรอยร้าว เป็นช่องว่างให้อากาศเข้าได้จะเกิดเสียงดัง แล้วอย่าหวังเลยครับว่าใช้ไปเรื่อยๆ แล้วเสียงจะหายเอง ถือว่าน้อยมาก การเปลี่ยนผ้าเบรกใหม่ถือว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุดครับ
เบรกเฟด คืออาการเบรกลื่นๆ เบรกไม่อยู่ในขณะที่ใช้ความเร็วสูง หรือติดต่อกันหลายๆครั้ง หรือใช้เบรกแบบหักโหม อาการนี้เกิดขึ้นเช่น เวลาที่ขับรถมาด้วยความเร็วสูงมากๆ พอแตะเบรกครั้งแรกก็เบรกอยู่ดี พอแตะเบรกอีกหลายๆทีกลับเกินอาการลื่นเหมือนยังไม่เหยียบเบรกเลย ถือว่าน่ากลัวมาก

สาเหตุเกิด จาก ความร้อนของจานเบรกที่สูงเกินไป จานเบรกที่ใช้งานหนักอาจจะเกิดความร้อนสูงกว่า 1,000 องศา จานเบรกอาจเกิดการไหม้แดง เหมือนเหล็กถูกเผาไฟ และเกิดการขยายตัวมาก การระบายความร้อนของจานเบรกไม่ดี ผ้าเบรกที่มีคุณสมบัติในการทนความร้อนต่ำ จะเกิดการลุกไหม้เสียหาย ไม่สามารถจับจานเบรกให้อยู่ได้ รวมถึงน้ำมันเบรกที่คุณสมบัติในการทนความร้อนต่ำ จะทำให้น้ำมันเบรกเดือด เกิดการขยายตัวเป็นฟองอากาศ ทำให้แรงดันไฮโดลิคลดต่ำลง อาการเบรกเฟดนี้ ถือเป็นปัญหาของนักซิ่ง ที่ชอบใช้เบรกแบบรุนแรง เบรกบ่อยๆติดต่อกัน และ รถที่ขับด้วย ความเร็วสูง   

การดูแลรักษาระบบเบรก และข้อควรระวัง
การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรก แม้ว่าจะไม่มีการรั่วหรือลดระดับลงอย่างใดก็ตาม น้ำมันเบรกควรได้รับการเปลี่ยนถ่ายปีอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพราะน้ำมันเบรกมีส่วนประกอบมาจากน้ำมันแร่ จึงมีการรวมตัวกับไอน้ำได้ง่าย ทำให้ระบบเบรกเกิดสนิม ความร้อนที่สูงเกินไปทำให้เกิดฟองอากาศในท่อน้ำมัน ฝุ่นผงที่สึกหรอของลูกยางเบรกจะเสียดสี กับแม่ปั้มเบรก ทำให้กระบอกเบรกเสียหายเร็วขึ้น น้ำมันเบรกต้องเลือกใช้ให้ตรงกับมารตราฐานที่ผู้ผลิตกำหนด เช่น DOT3 จะไม่สามารถนำน้ำมันเบรก DOT อื่นผสม หรือนำน้ำมันอื่นๆเติมแทน เพราะจะทำให้ลูกยางเบรกบวมได้ การเช็คระยะห่างผ้าเบรก ในระบบดรั้มเบรก ระยะห่างระหว่างผ้า และจานเบรกที่มากขึ้น จะสังเกตได้จากการเหยียบเบรกจะต่ำลง และการดึงเบรกมือที่สูงขึ้น ระดับน้ำมันเบรกลดต่ำลง ควรต้องทำการถอดจานเบรกมาทำความสะอาด เป่าฝุ่นทิ้ง และตั้งระยะผ้าเบรกให้ชิดขึ้น การตั้งจะใช้ไขควงเขี่ยเฟืองตั้งให้หมุนตามฟันตั้ง ด้านหลังจานเบรก ใส่ล้อไขให้แน่นแล้วหมุนสังเกตถ้าล้อเริ่มหมุนฝืดขึ้น ถือว่าใช้ได้ ทำทั้ง 2 ล้อ หรือสังเกตจากเสียงแกรกๆ เวลาดึงเบรกมือควรจะอยู่ที่ 5 – 7 แกรก
การตรวจสอบผ้าเบรก ผ้าเบรกเป็นส่วนที่สึกหรอเร็วกว่าส่วนอื่น เพราะมีการเสียสีทั้งจานเบรก และฝุ่นต่างๆ ควรถอดเช็คเป็นประจำ สังเกตเปรียบเทียบกับผ้าเบรกของใหม่แกะกล่อง จะมีความหนาเป็น 100 % ผ้าเบรกที่ใช้แล้วความหนาจะลดลงเรื่อยๆ ในจุดที่ต่ำกว่า 40 – 30 % นั้นถือว่าไม่ปลอดภัย เพราะผ้าเบรกในช่วงที่เหลือน้อย การสึกหรอจะรวดเร็วกว่าหลายเท่าตัว จนถึงระดับบางมาก เนื้อผ้าเบรกอาจหลุดร่อนได้อย่างกะทันหัน เป็นผลให้แผ่นเหล็กสีกับจานเบรกจนเสียหาย เสียเงินเพิ่ม หรือถ้าผ้าเบรกหลุดออกจากฝักเบรก ลูกสูบปั้มเบรก และน้ำมันเบรกจะหลุดออก ที่เรียกกันว่าเบรกแตกนั้นเองการเปลี่ยนจานเบรก และการเจียรจานเบรก การใช้ผ้าเบรกที่มีโลหะผสมอยู่มาก ฝุ่น หิน และการปล่อยให้ผ้าเบรกหมด จะทำให้จานเบรกเป็นรอย การขับรถลุยน้ำขณะที่จานเบรกร้อน จะทำให้จานเบรกคด หรือบิดตัว ต้องทำการเจียรจาน ด้วยเครื่องมือเจียรจานเบรก ทำได้ 2 วิธี การถอดจานเบรกมาเจียรด้วยเครื่องเจียรจาน แบบนี้ต้องใช้ค่าแรงสูงและอาจต้องมีการเปลี่ยนจารบีลูกปืนล้อใหม่ เสี่ยงต่อเศษฝุ่นผงเหล็กปะปนกับการประกอบจานเบรกคืน และการใช้เครื่องเจียรจานแบบประชิดล้อ แบบนี้ไม่ต้องเสียเวลาถอดจานเบรก และลูกปืนล้อ แต่ความเที่ยงตรงไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับสภาพดุมล้อ และลูกปืนล้อ ว่าหลวมหรือคดหรือไม่ การเจียรจะทำให้จานเบรกบางลง จานเบรกที่บางจะทำให้เกิดการแตกร้าว และคดได้ง่าย ควรเปลี่ยนจานเบรกใหม่ถือเป็นการดีที่สุดการทำความสะอาดจานเบรก ถ้ามีจารบี หรือสิ่งแปดเปื้อน ติดอยู่ที่จานเบรก ควรใช้น้ำยาล้างจานเบรกโดยเฉพาะ ไม่ควรใช้น้ำมันอื่นๆมาทำความสะอาด หรือถ้าไมมีจริงๆ ควรใช้ทินเนอร์ 100% หรือ แอลกอลฮอลบริสุทธิเท่านั้นการตรวจสอบสายอ่อนเบรก ควรตรวจสอบเป็นประจำสม่ำเสมอ ถ้าเห็นว่ามีอาการบวม บิดคดเสียรูป ปลอกหุ้มภายนอกฉีกขาด หรือมีการเสียดสี ควรรีบเปลี่ยนทันที เพราะอาจจะเกิดการแตกได้ง่ายๆ
การล้างและเปลี่ยนชุดซ่อมเบรก เบรกที่ได้รับการใช้งานอยู่เป็นประจำ ควรได้รับการเปลี่ยนชุดซ่อม จำพวกลูกยางแม่ปั้มเบรก ลูกยางลูกสูบเบรก และยางกันฝุ่น อย่างน้อย 2 – 4 ปีครั้ง หรือถ้ามีมีการลุยน้ำ ต้องรีบตรวจเช็คทันที เพระลูกยางกันฝุ่นที่เก่าหมดสภาพ จะไม่สามารถกันน้ำและฝุ่นได้ น้ำที่ซึมผ่านเข้าไปในกระบอกเบรก และแม่ปั้มเบรก จะทำลายลูกสูบเบรกให้เกิดสนิม เป็นตามด ในกระบอกเบรก ทำให้เกิดอาการเบรกติด หรือน้ำมันเบรกรั่วซึม

 

ขอบคุณขอมูล auto sook

โรลส์- รอยซ์เจาะลูกค้าไฮโซเมืองไทย เปิด ′เรธ′ คันละ 30.9 ล

โรลส์รอยซ์

บริษัท โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส จำกัด เปิดตัวรถยนต์รุ่น เรธ (Wraith) อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เผยโฉมรถยนต์ 2 ที่นั่ง เริ่มต้นที่ 30.9 ล้านบาท (รวมภาษี) ดีไซน์ส่วนท้ายและสีตัวถังภายนอกสไตล์ทู-โทน สามารถเลือกตามต้องการ การเปิดตัวเรธ ยังเป็นการฉลองครบรอบหนึ่งปีของโรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส แบงคอก โชว์รูม บนถนนพระราม 3 ในประเทศไทย ภายใต้การบริหารงานของบริษัท มิลเลียนแนร์ ออโต้ เซลส์ แอนด์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในบริษัท มาสเตอร์ กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด เปิดบริการในเดือนกรกฎาคม 2555
นายฉัตวิทัย ตันตราภรณ์ ผู้จัดการทั่วไป โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส แบงคอก เปิดเผยว่า ขณะนี้มียอดจอง เรธ ล็อตแรกหมดแล้ว แต่เป็นนโยบายของบริษัทจะไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขใดๆ ได้ แต่ถือว่าโรลส์-รอยซ์ประสบความสำเร็จในการเข้ามาทำตลาดอย่างเป็นทางการ ภายหลังทางบริษัทได้เป็นตัวแทนจำหน่ายโรลส์-รอยซ์ อย่างเป็นทางการในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงเปิดโชว์รูมใหม่ในระยะ 1 ปีกว่าที่ผ่านมา เนื่องจากลูกค้ามีความเชื่อมั่นในบริการเพิ่มมากขึ้น ทำให้กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อรถหรูสูงในกลุ่มโรลส์-รอยซ์ กล้าเป็นเจ้าของมากขึ้น ต่างจากเมื่อก่อน ที่มีแต่ผู้นำเข้ารถยนต์อิสระ ตัวอย่างกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาอย่างชัดเจนคือกลุ่มลูกค้านักธุรกิจ ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะลูกค้านักธุรกิจต่างประเทศที่มีภรรยาคนไทย
     "นักธุรกิจชาวต่างชาติที่มีภรรยาคนไทย จะเป็นผู้ที่เข้ามาใช้ชีวิตในประเทศไทยและรู้จักโรลส์-รอยซ์ดีอยู่แล้ว ทำให้มีความรู้เกี่ยวกับตัวรถอยู่แล้ว เมื่อเกิดความมั่นใจในบริการ จึงตัดสินใจซื้อได้ง่าย มีทั้งลูกค้าเงินผ่อนและเงินสด ลูกค้าที่ซื้อบางรายได้รับชี้นำจากลูกชายที่มีอายุ 30 กว่าๆ แนะนำให้พ่อแม่ที่มีกำลังซื้อสูงแต่ไม่ค่อยสนใจเรื่องเทคโนโลยีและคุณสมบัติ ของรถซื้อ ชี้ให้เห็นว่าฐานลูกค้าโรลส์-รอยซ์ในประเทศไทยเปิดกว้างมากขึ้น" นายฉัตวิทัยกล่าว และว่า ปัจจุบันราคาโรลส์-รอยซ์ที่ทางบริษัทนำเข้ามาขายมีราคาตั้งแต่ 26 ล้านกว่าบาทขึ้นไปจนถึง 42 ล้านกว่าบาท ลูกค้าส่วนใหญ่เลือกตามรสนิยม มีทั้งขับเองในบางเวลา และมีคนขับให้ในเวลาทำงาน ดังนั้น ทางบริษัทจึงมีคอร์สอบรมทั้งในเรื่องเทคโนโลยีและการดูแลรักษารถให้กับ พนักงานขับรถเป็นการเฉพาะ
นายฉัตวิทัยกล่าวว่า สำหรับบริการหลังการขายถือเป็นหัวใจหลักของตลาดรถยนต์ หรูประเภทนี้ที่มีราคา ตั้งแต่ 25 ล้านบาทขึ้นไป ดังนั้น ทางโรลส์-รอยซ์ ประเทศไทย จึงมีบริการลูกค้าที่ออกแบบเฉพาะในประเทศไทย ไม่เหมือนประเทศอื่น นอกจากนี้บริษัทมีแผนเปิดโปรแกรมดูแลรับซื้อรถยนต์โรลส์-รอยซ์รุ่นเก่า เพื่อเปลี่ยนมาเป็นรุ่นใหม่ ทั้งนี้ปัจจุบันมีประชากรรถโรลส์-รอยซ์ในประเทศไทยทั้งหมดประมาณ 60-70 คัน ที่ยังใช้งานอยู่ อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทจะสามารถส่งมอบรถยนต์รุ่นเรธ คันแรกให้กับลูกค้าชาวไทยได้ภายในไตรมาสสุดท้ายปีนี้"
สำหรับเรธ มีเครื่องยนต์ 12 วาล์ว ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด กำลังสูงสุด 624 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่ 1,500 รอบ/นาที 800 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 4.6 วินาที

โรลส์รอยซ์04

โรลส์รอยซ์02

โรลส์รอยซ์03

โรลส์รอยซ์05

โรลส์รอยซ์06

 

ขอบคุณข้อมูล auto sanook

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รอบรู้เรื่องรถ

วิธีประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงรถยนต์

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องใช้รถยนต์เป็นประจำ เรามีประหยัดน้ำมันในช่วงที่ภาวะราคาน้ำมันการผันผวนตลอดเวลา และยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
59985737
  • ขับรถด้วยความเร็วที่เหมาะสม การไม่ขับรถเร็วจนเกินไป ไม่แซงโดยไม่จำเป็น จะประหยัดได้ประมาณ 20% สำหรับอัตราความเร็วที่เหมาะสมในการประหยัดน้ำมันได้มากที่สุดคือ 60-80 กม./ชม. และความเร็วสูงสุดที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับทางธรรมดา คือ 90 กม./ชม. บนทางด่วน 110 กม./ชม.และบนทางมอเตอร์เวย์ 120 กม./ชม.
  • บรรทุกของเท่าที่จำเป็น จะช่วยประหยัดได้ประมาณ 15% หากขับรถโดยบรรทุกของที่ไม่จำเป็นประมาณ 10 กิโลกรัม เป็นระยะทาง 25 กิโลเมตร จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 40 ซีซี .
  • หลีกเลี่ยงการเดินทางในวันและช่วงเวลาที่มีผู้ใช้รถเป็นจำนวนมาก ๆ เพราะหากรถติดอยู่กับที่นาน 30 นาที จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน 750 ซี ซี. คิดเป็นเงิน 13.50 บาท (18 บาท/ลิตร) นอกจากนี้ยังทำให้เสียเวลาด้วย
  • ตรวจเช็คลมยางว่ามีการสึกหรอถึง ระดับต้องเปลี่ยนหรือยัง และควรเติมลมยางให้เหมาะสมตามที่กำหนด เนื่องจากยางสึกหรอหรือลมอ่อนจะทำให้การทรงตัวของรถไม่ดี และสิ้นเปลืองน้ำมัน และหากความดันลมยางต่ำกว่ามาตรฐานทุก 1 ปอนด์ต่อตารางนิ้วจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น 2 % เช่น ยางขนาด 195 มิลลิเมตร (มม.) ควรเติมลมยางขณะไม่บรรทุก 26 ปอนด์ และยางขนาด 205-235 มม. ควรเติมลมยางขณะไม่บรรทุก 26-29 ปอนด์ เป็นต้น
  • การทำความสะอาดไส้กรองอากาศทุกๆ 2,500 กม./ชม. หรือทุก ๆ 2-4 สัปดาห์ เพราะถ้าไส้กรองอากาศไม่สะอาดแล้ว จะทำสิ้นเปลืองน้ำมัน วันละ 65 ซีซี.

ตรวจเช็ครถก่อนเดินทางไกล

กรณีที่คุณต้องการเดินทางไกล สิ่งแรกที่ต้องทำคือตรวจเช็คสภาพรถยนต์ด้วยตัวคุณเอง เพื่อช่วยให้เกิดมั่นใจในการขับขี่ หรือหากพบข้อบกพร่องก็สามารถแก้ไขก่อนเดินทาง สำหรับวิธีการตรวจเช็คเบื้องต้นสามารถทำได้ดังนี้
ตรวจเช็คก่อนเดินทาง
ตรวจรถภายนอก
- ยาง ตรวจความดันลมยาง ดอกยาง และรอยฉีกขาด
- ตรวจดูว่าขันแน่นดี แต่ก็ไม่แน่นจนเกินไปจนคลายออก ไม่ได้ด้วยตัวเอง
- รอยรั่วซึม ตรวจดูว่ามีร่องรอยน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรค หรือ น้ำรั่วซึมจากใต้ท้องรถ
- ยางปัดน้ำฝน ทดลองปัดดู
- ไฟส่องสว่าง ตรวจดูไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเบรค ไฟเลี้ยวหรืออื่นๆรวมทั้งระดับไฟหน้าด้วยว่าเป็นปกติทั้งหมด
ตรวจภายในรถ
- ยางอะไหล่และแม่แรง ตรวจเช็คลมยาง และให้แน่ใจว่าแม่แรงและด้ามขันใช้งานได้ตามปกติ
- เข็มขัดนิรภัย ตรวจเช็คว่าหัวเข็มขัดสามารถลอ็คได้เรียบร้อย
- แตร ให้แน่ใจว่าดังดี
- แผงควบคุมและอุปกรณ์ ตรวจดูให้แน่ใจว่าทำงานเป็นปกติ และที่ปัดน้ำฝน ปัดได้เรียบร้อยสม่ำเสมอ
- เบรก เช็คระยะฟรีขาเบรคอยู่ในค่ากำหนดหรือไม่
- ฟิวส์สำรองที่เตรียมไว้ต้องมีขนาดค่ากระแสใช้ได้ตามที่กำหนดที่แผงฟิวส์
ตรวจใต้ฝากระโปรงหน้า
- ระดับน้ำหล่อเย็น ควรจะมีอยู่ถึงระดับสูงสุดในถังพักสำรอง
- หม้อน้ำและท่อยาง ควรดูว่าด้านหน้าหม้อน้ำหมดจดไม่มีเศษวัสดุ หรือใบไม้ติดอยู่ ดูท่อยางว่ามีรอยแยก
เปื่อย มีรอยฉีกขาดหรือหลวม
- สายพานขับต่างๆ ต้องไม่มีรอยแตก เลอะน้ำมันหล่อลื่น และความตึงสายพานอยู่ในค่ากำหนด
- แบตเตอรี่และสายไฟ ตรวจดูและเติมน้ำกลั่นให้ได้ระดับที่กำหนดดูเปลือกแบตเตอรี่ว่ามีร่องรอย เสียหาย
หรือไม่ ดูขั้วต่อและสายไฟว่าอยู่ในสภาพดีหรือไม่
- ระดับน้ำมันเบรคและคลัชท์ ตรวจดูว่าระดับน้ำมันเบรคและคลัทช์อยู่ในระดับที่ถูกต้อง
- ท่อน้ำมันเชื้อเพลิง ตรวจดูว่าท่อน้ำมันมีการรั่วหลุดหรือไม่

เตรียมตัวอย่างไรก่อนซื้อรถ
ถามตัวเองก่อน
สิ่งแรกที่คุณจะต้องทำในการเตรียมตัวซื้อรถนั่นก็คือการถามตัวเองก่อนว่าคุณ มีความจำเป็นในการใช้รถมากน้อยแค่ไหน บ้านคุณอยู่ไกลทำงาน ต้องไปรับลูก หรือแค่เห็นว่ารถรุ่นนี้สวย
กำหนดเงินที่มีอยู่
ข้อนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากทีเดียวหากคุณคิดจะซื้อรถสักคันเพราะเงิน คือสิ่งที่เป็นตัวกำหนดว่าคุณควรจะซื้อรถแบบใด ยี่ห้อใด หากว่าคุณต้องซื้อแบบเงินผ่อนล่ะก็ขอแนะนำว่าคุณต้องดูความสามารถในการผ่อน แต่ละเดือน ไม่ว่าจะเป็นค่าดอกเบี้ย ค่าประกันรถ ค่าซ่อมแซม ลองบวกลบคูณหารแล้วไม่ทำให้คุณเดือดร้อน
ยี่ห้อรถและราคาขายต่อ
มีรถบางยี่ห้อราคาแพงลิบตอนคุณซื้อ แต่พอคุณคิดจะเปลี่ยนยี่ห้อกลับราคาตกอย่างน่าใจหาย จริงๆแล้วเรื่องราคาขายต่อนั้นก็มีปัจจัยหลายข้อที่ทำให้ราคาตกไม่ได้ขึ้น อยู่ที่สภาพหรือสมรรถนะของรถเท่านั้นแต่เกี่ยวกับเรื่องของกระแสความนิยม ความดังของยี่ห้อ สัญชาติของยี่ห้อ จำนวนศูนย์บริการ ราคาอะไหล่ ความชินตาที่เห็นบนถนน ความจุกจิกในการใช้งาน รูปลักษณ์ จำนวนคนที่รอซื้อต่อ หรือความยากในการขายต่อ ความใหม่ของยี่ห้อรวม ถึงการล้มหายไปของยี่ห้อ ฯลฯ ล้วนมีผลต่อราคาขายต่อทั้งนั้น ดังนั้นเรื่องยี่ห้อรถและราคาขายต่อนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวของคุณเองว่าจะ ตัดสินใจอย่างไร
ควรดูราคาหลายๆแห่งก่อนซื้อ
เพราะว่าแต่ละบริษัทอาจจะมีโปรโมชั่นที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยต่ำ อุปกรณ์เสริม เช่น ล้อแม็กซ์ แอร์ วิทยุ กันสนิม ซ่อมฟรี และฟรีประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 คุณควรจะลองดูหลายๆแห่งอาจจะได้รถดีราคาไม่แพงมากก็ได้
เช็คราคาอะไหล่และศูนย์บริการ
รถบางยี่ห้อราคาอะไหล่แพงหูฉี่และหายาก มีความลำบากในการซ่อม รวมทั้งค่าซ่อมแพง หรือว่าบางยี่ห้อต้องใช้อะไหล่ของทางบริษัทเท่านั้น รวมถึงเรื่องของศูนย์บริการที่รถบางยี่ห้อมีไม่กี่แห่งอาจจะลำบากในการหา ศูนย์บริการหากคุณอยู่ไกล
เช็คราคาการประกันรถยนต์
ถ้าคุณจะซื้อรถเก่า ที่มีอายุการใช้งานเกินกว่า 10 ปี บริษัทประกันบางแห่ง จะไม่รับประกันภัยชั้น 1 ให้คุณถ้าเกิดกรณีอุบัติเหตุ จะทำให้คุณต้องเสียเงินมาก
หาข้อมูลเพิ่มเติม
สื่อในปัจจุบันนั้นมีมากมายให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรืออินเตอร์เน็ต คุณสามารถเช็คข้อมูลได้ทุกเรื่องเกี่ยวกับรถที่คุณอยากรู้ แต่ต้องอย่าลืมว่าสื่อเหล่านี้ไม่ได้ถูกต้องไปเสีย100 % คุณอาจจะลองถามเพื่อนที่ใช้รถดูเค้าอาจมีคำแนะนำให้คุณแต่ความคิดส่วนตัวแต่ ละคนแตกต่างกันไป
ความเร็วเท่าไรจึงขับรถปลอดภัย!!
เพื่อเป็นการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ควรขับรถด้วยความเร็วตามกฎหมายกำหนด.......
บนทางหลวง ในเขตเทศบาล รถเก๋งหรือรถปิกอัพ ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 80 กม./ชม. รถบรรทุกหรือรถโดยสาร ไม่เกิน 60 กม./ชม. บนทางหลวง นอกเขตเทศบาล ให้รถเก๋งหรือปิกอัพ ใช้ความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม.รถบรรทุกหรือรถโดยสาร ไม่เกิน 80 กม./ชม. และ บนมอเตอร์เวย์รถเก๋งหรือปิกอัพ ไม่เกิน 120 กม./ชม.รถบรรทุกหรือรถโดยสาร ไม่เกิน 100 กม./ชม.
ทั้งนี้ในเชิงเทคนิค ได้รับการพิสูจน์และยืนยันจากทั่วโลก การขับขี่รถที่ ความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม. นอกจากช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ 15-20% ยังช่วยลดการตายบนถนนได้ 12-24% แต่ความเร็วดังกล่าว ไม่สามารถลดอุบัติเหตุได้ หากทุกคนประมาท เมามายขณะขับรถ และการไม่ร่วมมือกันปฏิบัติตามกฎหมาย
ข้อมูลจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลและสำนักงานนโยบาย

การล้างหม้อน้ำ ไม่ใช่เรื่องยาก

การทำความสะอาดหม้อน้ำจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน และการกัดกร่อนภายในที่อาจเกิดขึ้นได้
  • เริ่มด้วยการหาถุงพลาสติกคลุมอุปกรณ์ไฟฟ้าที่อยู่ใกล้ ๆ หม้อน้ำ แล้วมองหาปลั๊กถ่ายน้ำด้านล่างของตัวหม้อน้ำ และคลายไว้เล็กน้อย
  • เปิดฝาหม้อน้ำ และเตรียมสายยางที่ต่อไว้กับก็อกประปา พร้อมติดเครื่องยนต์ให้ทำงาน คลายหัวไล่น้ำออก เอาสายยางที่มีน้ำไหลแหย่ลงไปในช่องที่เปิดฝาหม้อน้ำออกให้มีน้ำหมุนเวียนใน เครื่องยนต์อยู่ตลอดเวลา โดยน้ำจะไหลจากท่อยางที่เสียบลงไปจากด้านบนและไหลออกที่ช่องด้านล่าง ทำการทิ้งไว้สักพักจนน้ำเริ่มใส
  • ปิดปลั๊กอุดด้านล่าง และปิดน้ำที่สายยาง ดับเครื่องยนต์ และเตรียมน้ำยาหล่อเย็น COOLANT เพื่อเพิ่มจุดเดือดของน้ำ
  • คลายปลั๊กไล่น้ำเล็กน้อย เพื่อให้น้ำลดระดับลงไปบ้าง เติมน้ำยาหล่อเย็นลงไป ถ้ายังเติมไม่พอ ก็ไล่น้ำทิ้งออกไปอีกเล็กน้อย ไล่เติมจนได้สัดส่วนที่ข้างกระป๋องน้ำยาหล่อเย็นที่ระบุไว้ เช่น 0.5 หรือ 1 กระป๋องต่อรถยนต์ 1 คัน ฯลฯ
  • ติดเครื่องยนต์ปล่อยให้ทำงานสักพัก เพื่อให้วาล์วน้ำ เปิดจนสุด มีการหมุนเวียนตามปกติ เติมน้ำยาในหม้อน้ำและถังพักให้ได้ระดับ ปิดฝาเป็นอันเสร็จ
ส่วนรถยนต์ที่ใช้หม้อน้ำ ระบบปิด ไม่มีฝาหม้อน้ำ ใช้เติมน้ำที่ถังพัก ก็ปฎิบัติคล้าย ๆ กัน แต่ต้องหาหัวไล่ลมให้พบ โดยในขั้นตอนสุดท้าย ต้องไล่ลมพิเศษออกจากระบบให้หมดที่หัวไล่ลมพิเศษนี้ด้วย

เอธานอล อัศวินม้าขาวของวิกฤตราคาน้ำมันเบนซิน

เชื่อหรือไม่ว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ ราคาน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามผู้ที่ได้รับผลกระทบเต็ม ๆ ก็คือผู้บริโภคน้ำมันเบนซินอย่างพวกเราทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ใช้น้ำมันดีเซลที่ราคาเพิ่มสูงขึ้นตามมาติด ๆ ในเมื่อเราไม่สามารถเลิกใช้รถเพื่อการเดินทางได้ ดังนั้นการใช้พลังงานทดแทนดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ณ ปัจจุบันนี้
เอธานอล คืออะไร
เอธานอล เป็นแอลกอฮอล์ที่ได้จากการแปรรูปพืชประเภท แป้ง และน้ำตาล สามารถนำมาใช้ทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ หากจะนำมาใช้เพียว ๆ เครื่องยนต์ก็ต้องออกแบบมาเพื่อใช้กับเชื้อเพลิงเอธานอลโดยเฉพาะ ซึ่งใช้กับเอธานอลบริสุทธิ์ 95 % (มีส่วนผสมของน้ำอยู่ 5 %) คงไม่คุ้มค่านักกับการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ให้สามารถใช้เชื้อเพลิงชนิดนี้ (ค่าใช้จ่ายอาจจะสูงจนสามารถนำไปดาวน์รถใหม่ได้) สำหรับเอธานอลบริสุทธิ์ 99.5 % สามารถนำไปผสมกับน้ำมันเบนซิน หรือ แกสโซลีน กลายเป็น แกสโซฮอล์ รูปแบบใหม่ของพลังงานทดแทนที่กำลังถูกกล่าวขวัญถึงอย่างกว้างขวาง
สำหรับประเทศไทย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีสายพระเนตรกว้างไกลว่าในอนาคตอันใกล้นี้ พสกนิกรของพระองค์คงต้องประสบปัญญาราคาน้ำมันสูงเป็นแน่ แต่พืชพรรณทางการเกษตรกลับมีราคาตกต่ำลง โดยเฉพาะอ้อยที่นิยมเพาะปลูกมากจนมีปริมาณล้นความต้องการของประเทศ จึงมีพระกระแสรับสั่งให้โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรดา ดำเนินการศึกษาค้นคว้าและทดลองใช้เชื้อเพลิงเอธานอลกับรถยนต์ โดยมีภาคเอกชนหลายหน่วยงานร่วมพัฒนาโครงการ จนประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ
อย่างไรก็ดี ภาครัฐควรเร่งการขยายสาขาให้บริการแกสโซฮอล์ให้มากยิ่งขึ้น เพราะนั่นหมายถึงการช่วยชาติลดการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากต่างประเทศ ลดการเสียดุลการค้า ที่สำคัญที่สุดผลผลิตทางการเกษตรที่นำมาแปรรูปเป็นเอธานอลได้จะมีมูลค่า เพิ่มขึ้น เกษตรกรผู้ผลิตก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น ชีวิตการเป็นอยู่ดีขึ้น เช่นกัน

บทเรียนราคาแพงจากแบตเตอร์รี่

นับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบนความประมาทเลินเล่อและเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้ขับรถ ทุกท่าน โดยเฉพาะท่านที่ขับเป็นอย่างเดียวและไม่คิดที่จะหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยว กับการดูแลรักษารถยนต์ด้วยตนเอง ก็ใครจะไปคิดว่าแบตเตอร์รี่ลูกเล็ก ๆ ลูกเดียวจะสามารถสร้างความเสียหายให้กับรถยนต์ได้มากถึงเพียงนี้
เรื่องมีอยู่ว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยน แบตเตอร์รี่ลูกใหม่ก็เลยขับรถไปเปลี่ยนที่ร้านโดยเลือกแบตเตอร์รี่ชนิดเติม น้ำกรดแล้วใช้งานได้ทันที ไม่นานช่างก็บอกว่าเรียบร้อยแล้วจึงชำระเงินแล้วขับรถไปธุระต่างจังหวัด
ระหว่างทางเมื่อรถตกหลุมหรือผ่านทางขลุขละมาก ๆ จะได้ยินเสียงดังมาจากเครื่องยนต์แต่ไม่ได้เอะใจเพราะความไม่รู้จึงคิดไปเอง ว่า “มันเป็นเรื่องปกติ” จนกระทั่งมาถึงปั๊มน้ำมันเลยได้มีโอกาสออกมายืดเส้นยืดสายนอกรถทันใดนั้นก็ ได้กลิ่นผิดปกติเล็ดลอดออกมาจากห้องเครื่อง แต่ก็ยังคิดว่า “มันเป็นเรื่องปกติ” แล้วก็ไม่ได้สนใจอะไร
จนกระทั่งจะออกเดินทางต่อ เพื่อนที่มาด้วยรู้สึกถึงกลิ่นที่ไม่ปกติจึงขอเปิดกระโปรงหน้ารถดูถึง กระนั้นก็ยังปลอบใจเพื่อนอีกว่า ไม่มีอะไรหรอก “มันเป็นเรื่องปกติ” แต่ก็ทนการรบเร้าจากเพื่อนไม่ได้จึงยอมเปิดฝากระโปรงให้ดู ทันทีที่เพื่อนเปิดกระโปรงหน้ารถขึ้น สีหน้าก็บอกทันทีว่าต้องเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นแน่ ๆ
แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่า เครื่องยนต์ที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้เป็นเครื่องเดียวกับตอนที่เปลี่ยนแบตเตอร์ รี่เพราะตอนนี้มันเต็มไปด้วยคราบสีขาว วัสดุที่เป็นยางก็ยุ่ยละลายเป็นจุด ๆ ที่เด่นชัดสุดก็คือตำแหน่งของแบตเตอร์รี่บัดนี้มันเอียงผิดไปจากตำแหน่งเดิม น็อตของสายยึดแบตฯ หลุดหายไป ฝาปิดช่องเติมน้ำกลั่นปิดไม่สนิทตัวถังด้านในด่างเป็นจุด ๆ และยังกระเด็นเลยไปโดนตัวถังด้านนอกอีก โอย!!! ลมแทบจับ มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ณ วินาทีนั้นคิดอะไรไม่ออก มันมืดแปดด้าน โชคดีที่ปั๊มนี้มีบริการตรวจเช็คเครื่องยนต์ จึงขอให้ช่างมาดูซึ่งช่างได้เติมน้ำกรดให้ใหม่ปิดฝาให้สนิท ขยับให้แบตฯเข้าที่เข้าทางขันให้แน่น เอาน้ำเปล่ามาราดที่เครื่งยนต์ให้น้ำกรดเจือจางไปบ้างถึงแม้ว่ามันคงช่วย อะไรไม่ได้มากก็ตาม แล้วแนะนำให้นำรถเข้าอู่ซ่อมตัวถังและสีเพื่อแก้ไขสิ่งที่น้ำกรดกร่อนโดย เร็ว ก่อนที่จะเสียหายมากไปกว่านี้
เป็นอันว่าธุระก็ไม่ได้ไปและยังต้องขับรถกลับกรุงเทพฯอีกเป็นร้อยกิโล ตลอดการเดินทางกลับนึกโทษตัวเองตลอดว่าทำไมเราไม่สนใจเรื่องการดูแลรักษารถ ยนต์บ้างนะ แค่เสียเวลาอีกไม่กี่นาทีเพื่อตรวจความเรียบร้อยซ้ำอีกครั้งความเสียหายนี้ ก็คงไม่เกิดขึ้น และเมื่อมาถึงอู่ซ่อมสีช่างได้ตรวจสอบให้อย่างละเอียดปรากฏว่าความเสียหาย นั้นมากมายกว่าที่คิด ท่อยางและสายไฟต่าง ๆ ที่โดนน้ำกรดต้องเปลี่ยนใหม่หมด ส่วนที่เป็นโลหะถ้าปล่อยทิ้งไว้สนิมจะขึ้น ชิ้นส่วนไหนที่พอจะขัดออกได้ก็ขัดออกแล้วเคลือบป้องกันสนิมใหม่ ชิ้นส่วนที่เสียหายมากก็ต้องเปลี่ยน นอกจากนี้ ฝากระโปรง,กันชนหน้า,กระจังหน้า,แก้มหน้าซ้าย(ด้านที่แบตฯอยู่) เรียกได้ว่าแทบจะทุกชิ้นส่วนได้รับความเสียหาย วิธีการแก้ไขก็ต้องถอดส่วนต่าง ๆ ออกมาเป็นชิ้น ๆ เพื่อให้ช่างได้ทำงานได้สะดวก แล้วคุณจะรู้สึกยังไงถ้าได้เห็นรถคันงามของคุณในสภาพที่ถูกถอดออกเป็นชิ้น เล็กชิ้นน้อย
เบ็ดเสร็จแล้วงานนี้หมดค่าซ่อมไปหลายหมื่นบาท นับเป็นบทเรียนราคาแพงที่ต้องจดจำไปชั่วชีวิต ตั้งแต่วันนั้นคู่มือการใช้รถทีไม่ได้เปิดอ่านเลยตั้งแต่ซื้อรถมาใหม่ ๆ ก็ถูกทำความรู้จักอย่างละเอียดถี่ถ้วนครบทุกตัวอักษรนอกจากนั้นยังได้ทำความ รู้จักกับเครื่องยนต์ในจุดต่าง ๆ ว่าเรียกว่าอะไร มีความสำคัญอย่างไรบ้าง เพื่อวันข้างหน้าจะได้ไม่เกิดปัญหาจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ซ้ำอีก

เมื่อขับรถยนต์ขณะฝนตก

ขณะขับรถยนต์ แล้วมีน้ำขังอยู่บนพื้นถนน ถ้าวิ่งด้วยความเร็วสูงยางรถจะแทรกเข้าไปในน้ำที่ขับอยู่ ทำให้ล้อไม่สามารถหมุนได้ แต่จะเคลื่อนไปบนน้ำเหมือนสกีน้ำ ภาวะดังกล่าวเรียกว่า การเกิดไฮดรอพ เรนนิ่ง (HIGH DROP RAINING) ถ้าเกิดภาวะเช่นนี้ จะรู้สึกว่าพวงมาลัยเบามากและไม่สามารถจะเบรคหรือเลี้ยวรถได้เลย และจะทำให้การเบรค การใช้พวงมาลัยไม่ค่อยได้ผล
เพื่อไม่ให้เกิดภาวะไฮดรอพ เรนนิ่ง ขึ้นให้ใช้ความเร็วต่ำกว่าวันที่อากาศดี หากเกิดภาวะดังกล่าว อย่ารีบร้อนหักพวงมาลัย หรือเหยียบเบรค เพราะจะก่อให้เกิดอันตรายได้ ควรจับพวงมาลัยให้มั่นและปลดเกียร์ต่ำ แล้วรอให้ความเร็วลดลงอย่างมีสติ
กรณีที่ขับรถระหว่างฝนตกหนัก
หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีน้ำขัง โดยพยายามเบี่ยงออกทางด้านซ้ายหรือขวาของแอ่งน้ำ น้ำฝนอาจจะเข้าไปในเบรค ทำให้เบรคไม่ทำงานชั่วขณะได้ ให้ใช้วิธีเหยียบเบรคเบาๆหลายๆครั้ง เพื่อทำให้เบรคแห้ง

เกียร์อัตโนมัติ

· กรณีที่สตาร์ทเครื่องยนต์แต่ไม่ติดขึ้นมา โดยที่ไม่เสียงเครื่องยนต์ดังแม้แต่นิดเดียว เมื่อบิดสวิตช์กุญแจ ให้ท่านลองโยกที่คันเกียร์ด้วยการผลักไปมา และมาหยุดลงที่ตำแหน่ง P ก่อนที่จะโยกเบาๆ ให้เข้าทาง แล้วจึงสตาร์ทเครื่องยนต์ขึ้นมา
· การใช้สวิตช์ O/D ที่ตำแหน่ง ON หรือ OFF กับความเร็วไม่เกิน 100 กม. ต่อ ชม. ก็สามารถใช้ได้ ไม่ส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์แต่อย่างใด สามารถทำสลับเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องจอดรถ เพียงแต่จะมีความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่างกันเท่านั้น

ดูแลพวงมาลัยพาวเวอร์

1. ตรวจสอบระดับน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ การปล่อยให้ระดับน้ำมันเพาเวอร์พร่องไป จะทำให้เกิด
อาการพวงมาลัยหนักขึ้นในบางจังหวะได้เช่นกัน
2. ตรวจสอบสภาพสายพานเพาเวอร์ หากขับรถอยู่แล้ว เกิดสายพานขาด ก็ไม่ใช่จะอันตรายถึงขนาด
ควบคุมทิศทางไม่ได้ การควบคุมทิศทางยังสามารถทำได้อยู่ เพียงแต่ต้อง ออกแรงมาก เพื่อหักเบน
พวงมาลัย เพื่อนำรถเข้าข้างทาง
ขอแนะนำ : หมั่นนำรถเข้าตรวจเช็คตามระยะที่ศูนย์บริการกำหนดไว้

พวงมาลัยเล็กใหญ่มีอะไรแตกต่างกัน

พวงมาลัยวงเล็กและวงใหญ่จะใช้จำนวนรอบการหมุนเท่ากัน สามารถทดสอบได้โดยนับรอบจากการทำเครื่องหมายไว้บนพวงมาลัยดู แล้วหมุนจากซ้ายสุดไปขวาสุดแล้วนับจำนวนรอบ โดยนับรอบจากที่ทำเครื่องหมายไว้บนวงพวงมาลัยแล้วจดบันทึกไว้ว่าหมุนไปกี่รอบ แต่จะมีข้อแตกต่างกันที่ การออกแรงหมุน พวงมาลัยวงเล็กต้องออกแรงมากกว่า แต่สาวได้เร็วกว่า การตอบสนองเวลาเลี้ยวก็จะไวกว่า แต่ก็ต้องระวัง เพราะบางครั้งไวไป กรณีผู้ขับไม่ชินก็อาจเกิดอันตรายได้ ส่วนพวงมาลัยวงใหญ่ใช้แรงหมุนน้อยกว่า แต่การสาวพวงมาลัยก็ช้ากว่าเช่นกัน

วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

mazda3 โฉมใหม่ ปราดเปรียวยิ่งกว่า

เปิดเผยเป็นที่แน่นอนแล้วว่ามาสด้า 3 รุ่นใหม่เตรียมพร้อมเปิดตัว ซึ่งล่าสุดในต่างประเทศได้มีภาพมาสด้า 3 โฉมใหม่ ออกมาเผยแพร่ให้ได้เห็นกันแล้ว โดยโฉมใหม่ของมาสด้า3 ดูปราดเปรียวยิ่งขึ้น และมาพร้อมกับการพัฒนาที่ผสมผสานเทคโนโลยีระหว่างงานออกแบบ KODO กับ SKYACTIV
มาสด้า 3 หรือที่เรียกว่าแอกเซล่า (Axela) เป็นรถใน คลาสของคอมแพ็กต์คาร์ เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2003 ซึ่งรุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวเร็วๆนี้ เป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 โดยดีไซน์ตามแนวคิด KODO Design ซึ่งเคยใช้กับรถยนต์ อย่าง CX-5 และ 6 นอกจากนี้ยังใช้เทคโนโลยี SKYACTIV-G ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เบนซินเจนเนอเรชั่นใหม่ จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบไดเร็คอินเจ็คชั่น และเป็นเครื่องยนต์เบนซิน ที่มีอัตราส่วนการอัดสูงที่สุดในโลก คือ 14.0:1 โดยเครื่องยนต์ไม่น๊อค เนื่องจากใช้ระบบท่อไอเสีย 4-2-1, ลูกสูบหัวหลุม และหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงแบบหลายรู รวมทั้งเทคโนโลยีอื่นๆส่งผลให้เครื่องยนต์มีประสิทธิภาพสูง ลดอัตราสิ้นเปลืองและเพิ่มแรงบิดได้ถึง 15 เปอร์เซ็นต์เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องยนต์พิกัดเดียวกัน รวมทั้งมีแรงบิดสูงตั้งแต่รอบต่ำ-ปานกลาง จึงเหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน รวมถึงเพิ่มเทคโนโลยีความปลอดภัยใหม่ i-ACTIVSENSE และใส่ระบบอำนวยความสะดวกในการใช้งานของระบบต่างๆในตัวรถที่ชื่อ HMI หรือ Human-Machine Interface เข้ามาด้วย

ส่วนรายละเอียดอื่นๆ และตัวจริงคาดว่าปลายปีนี้น่าจะได้เห็นกัน

new mazda3

new mazda3_02

new mazda3_03

new mazda3_04

new mazda3_05

new mazda3_06

 

ขอบคุณข้อมูล auto sanook

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

โตโยต้าปรับแผนอีโคคาร์-ครองแชมป์เก๋ง

toyota news

แหล่งข่าวจากผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า อีโคคาร์ของค่ายโตโยต้าซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างดำเนินการและเตรียมเปิด ตัวอย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคม 2556 ตามที่นายเคียวอิจิ ทานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ประกาศแผนงานไว้ก่อนหน้านั้น อาจไม่ทันตามกำหนด เนื่องจากจะต้องมีการปรับปรุงสเป็กและออปชั่นบางส่วน

     แหล่งข่าวกล่าว ว่า ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาทีมงานโตโยต้าได้ส่งอีโคคาร์ให้กับสำนักงาน เศรษฐกิจอุตสาหกรรม หรือ สศอ. ตรวจสอบเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดและมาตรฐานรถยนต์นั่งประหยัดพลังงาน ของกระทรวงอุตสาหกรรม ทาง สศอ.แนะนำให้ปรับปรุงบางส่วนก่อนที่จะนำกลับไปตรวจอีกครั้งหนึ่ง

"ตอน นี้ผู้ผลิตชิ้นส่วนกับวิศวกรของโตโยต้าพยายามเร่งมือแก้ไขให้เร็วที่สุด เพื่อให้ทันกับแผนงานเดิม แนวโน้มอาจต้องเลื่อนเวลาเปิดตัวอีโคคาร์ออกไปอีกเล็กน้อย คาดว่าไม่น่าเกินเดือนตุลาคม"

     แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า การปรับปรุงสเป็กและออปชั่นต่าง ๆ ช่วงนี้น่าจะเป็นผลดีกับโตโยต้า ด้วยเหตุว่าสถานการณ์ตลาดรถยนต์ช่วงนี้ยังอยู่ในภาวะซบเซา ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากโครงการรถยนต์คันแรก วันนี้ความต้องการซื้อรถลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะรถยนต์ในกลุ่มที่ปีก่อนได้สิทธิ์รถคันแรก หลายค่ายรถยนต์ต้องปรับตัวและแผนทำการตลาดกันอุตลุด จุดนี้น่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้โตโยต้ามีแนวโน้มจะเลื่อนเปิดตัว รอสัญญาณตลาดฟื้นตัว ซึ่งคาดว่าน่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติช่วงปลายปี

"ประชา ชาติธุรกิจ" สอบถามเรื่องนี้กับทางผู้บริหารโตโยต้า ได้รับคำยื่นยันว่า การดำเนินงานโครงการอีโคคาร์ของโตโยต้านั้นทุกอย่างยังคงเป็นไปตามแผน และโตโยต้าเองไม่ได้เร่งรัดหรือต้องเร่งดำเนินการให้อีโคคาร์ออกสู่ตลาดก่อน เป้าหมายแต่อย่างใด

     เนื่องจากขณะนี้โรงงานมีการผลิตรถยนต์ค่อนข้าง เต็มกำลัง อย่างไรก็ตาม โตโยต้ามั่นใจว่าเมื่ออีโคคาร์คลอดออกสู่ตลาด จะได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าชาวไทยเป็นอย่างดี และมั่นใจว่าโปรดักต์ใหม่ที่เตรียมนำเสนอน่าจะผลักดันให้โตโยต้ากลับมาเป็น แชมป์ตลาดรถยนต์นั่งได้อย่างแน่นอน หลังจากที่เสียแชมป์ให้กับทางฮอนด้าเมื่อปีก่อนนั้น รวมถึงจะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมรถยนต์ทั้ง 3 ตลาด ซึ่งประกอบด้วยตลาดรวม ตลาดรถปิกอัพ และตลาดรถเก๋ง

"ตอนนี้ทุกคนต่างพยายามทำงานเพื่อให้ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน แต่ก็ต้องยอมรับว่าสภาพตลาดรถยนต์ในปัจจุบันเองนั้นถือว่ามีการแข่งขันค่อน ข้างสูงและดุเดือด โตโยต้าพยายามคัดสรรสิ่งดี ๆ ให้กับผู้บริโภค และต้องพยายามรักษาตลาด ส่วนโครงการอีโคคาร์ถามว่าจะดีเลย์ออกไปหรือไม่นั้น เอาเป็นว่าวันนี้ทุกคนในโตโยต้าต่างทำงานกันอย่างเต็มที่" ผู้บริหารระดับสูงเบอร์หนึ่งค่ายรถยนต์กล่าว

     ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่ม เติมว่า ในวันที่ 17 ก.ค.นี้ ประธานโตโยต้า นายเคียวอิจิ ทานาดะ มีกำหนดจะแถลงความคืบหน้าของสภาวะตลาดรถยนต์ และเป้าหมายของโตโยต้า ซึ่งหลายคนประเมินว่าตัวเลขอาจจะแตกต่างจากที่เคยประเมินไว้เมื่อต้นปีที่ ระบุว่า ตลาดรถยนต์ในประเทศปี 2556 คาดว่าจะมียอดขายรวมทั้งหมดมากกว่า 1.2 ล้านคัน หดตัวประมาณ 10% ส่วนของโตโยต้าได้ตั้งเป้าหมายการขายสำหรับตลาดรถยนต์ในประเทศปีนี้ไว้ 5 แสนคัน แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 2 แสนคัน ลดลง 11% รถเพื่อการพาณิชย์ 3 แสนคัน เพิ่มขึ้น 3% และรถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยอดขายรถเพื่อการพาณิชย์ 285,000 คัน เพิ่มขึ้น 5.6% และเป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปของโตโยต้าในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 412,000 คัน คิดเป็นมูลค่า 168,000 ล้านบาท และการส่งออกชิ้นส่วนมูลค่า 7 หมื่นล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้นประมาณ 2.38 แสนล้านบาท

     ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า นอกจากโตโยต้ามีแผนส่งอีโคคาร์ลงตลาดในเร็ว ๆ นี้แล้ว โตโยต้ายังมีแผนจะส่ง โคโรลล่า อัลติส โมเดลเชนจ์ออกสู่ตลาดด้วย ซึ่งคงจะต้องจับตาดูกันอีกครั้งหนึ่งว่า ระหว่างอีโคคาร์และอัลติสรุ่นใดจะคลอดออกจากไลน์ผลิตก่อนกัน แต่ที่แน่ ๆ ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โปปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ รถทั้ง 2 รุ่นน่าจะเป็นรถธงที่คู่แข่งไม่กล้ากะพริบตา

ดร.ณัฐพล รังสิตพล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายอุตสาหกรรมรายสาขา 1 สํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า ทางสศอ.มีหน้าที่รับรองผลทดสอบของแต่ละบริษัทที่ยื่นเข้ามา โดยแต่ละบริษัทต้องยื่นแบบไม่น้อยกว่า 90 วัน และไม่มีกำหนดเวลาในการตรวจ ซึ่งจะตรวจตามคุณสมบัติที่กำหนดไว้ หากมีข้อไหนที่ต้องแก้ไขก็แล้วแต่บริษัทนั้นๆ จะยื่นเข้ามา เพราะไม่มีกำหนดเวลา ส่วนข้อมูลต่างๆ ว่าบริษัทไหนจะต้องแก้ไขอะไรบ้างนั้นผู้ตรวจสอบและอนุมัติไม่สามารถเปิดเผย ได้ เพราะจะเกิดความไม่เป้นธรรมและมีผลต่อบริษัทดังกล่าว เนื่องจากคู่แข่งจะสามารถนำข้อมูลดังกล่าวมาปรับกลยุทธ์ในการแข่งขันได้ จึงขอให้ทางบริษัทเป็นผู้เปิดเผยข้อมูลเองจะเป็นผลดีกว่า

 

ขอบคุณข้อมูล auto sanook

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Toyota Corolla Altis 2014 เปิดตัวที่ตุรกี คาดว่ารุ่นนี้น่าจะมาไทย

เว็บไซต์คาร์สกู๊ป ได้เผยภาพของ โตโยต้า โคโรล่า รุ่นใหม่ที่ปัจจุบันคนไทยคุ้นเคยด้วยชื่อ โตโยต้า โคโรล่า อัลติส (Toyota Corolla Altis) โดยในภาพเป็นรูปลักษณ์ปรับแต่งเพื่อจำหน่ายในตลาดทวีปยุโรป ซึ่งคาดการณ์ว่ารูปโฉมดังกล่าวมีแนวโน้มจะเข้าจำหน่ายในประเทศไทยด้วย
สำหรับ รูปโฉมของโคโรล่าในยุโรปมีความแตกต่างชัดเจน เริ่มจากปรับสีของกันชนหน้าให้เป็นสีเดียวกันทั้งหมด ส่วนด้านหลังใช้สีเดียวกันทั้งหมดและเพิ่มไฟตัดหมอกหลัง และไฟท้ายทรงเรียวยาว ต่างจากในสหรัฐฯ ที่ด้านหน้าใช้รูปสี่เหลี่ยมคางหมูสีดำขนาดใหญ่ครอบคลุมไปจนถึงกันชนด้านบน ด้านหลังเติมเส้นสีดำบริเวณใต้ท้องรถ ไม่มีไฟตัดหมอกหลัง และไฟท้ายขนาดใหญ่กว่าและกินพื้นที่ลงไปด้านล่างมากกว่า
ด้าน ภายในไม่มีความแตกต่างกันมากนัก มีเพียงย้ายตำแหน่งของนาฬิกาดิจิตอล และลวดลายของเบาะนั่งเท่านั้น ส่วนเครื่องยนต์และราคายังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดใด ๆ แต่คาดการณ์ว่าจะใช้เครื่องยนต์เหมือนกับโตโยต้า ออริส สเปคยุโรป (Toyota Auris) ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปี 2012 ซึ่งมีเครื่องยนต์ให้เลือกทั้งเบนซิน 1,400 ซีซี กับ 2,000 ซีซี และเครื่องยนต์ดีเซล 1,300 ซีซี กับ 1,600 ซีซี อีกด้วย

Toyota Corolla Altis 2014

Corolla Altis 2014

Altis 2014

Toyota Altis 2014

altis 2014_01

altis 2014_02

altis 2014_03

altis 2014_04

altis 2014_05

 

ขอบคุณข้อมูล กระปุกดอทคอม